การจัดชั้นวางสินค้าในคลังไม่ใช่แค่ “เอาของขึ้นไปวางให้เต็ม” แต่คือการออกแบบการไหลของงาน (Workflow) ทั้งระบบ ถ้าวางดีหยิบง่าย ลดเวลาค้นหา ลดงานผิดพลาด และใช้พื้นที่ได้คุ้มขึ้น แต่ถ้าวางมั่ว ต่อให้มีสต๊อกไม่เยอะก็ยังหาของไม่เจอ เสียทั้งเวลาและโอกาสขาย
บทความนี้ชวนมาดูหลักการจัดชั้นวางสินค้าในคลังให้หยิบง่าย ไม่สับสน และทำงานได้เร็วขึ้นแบบเป็นขั้นตอน
1. เริ่มจาก “โซนสินค้า” ก่อนจัดชั้นวาง
ก่อนจะเอาของขึ้นชั้น ควรแบ่งโซนให้ชัดเจนก่อน ว่าพื้นที่ไหนสำหรับอะไร เช่น
-
โซนรับสินค้า (Receiving Area)
สำหรับรับของเข้า ตรวจนับ และติดสติ๊กเกอร์/บาร์โค้ด -
โซนสต๊อกหลัก (Storage Area)
เป็นส่วนที่ตั้งชั้นวางสินค้า แยกตามประเภท -
โซนเตรียมของส่ง (Picking & Packing Area)
ใช้สำหรับหยิบ แพ็ค และตรวจคำสั่งซื้อ -
โซนสินค้าตีกลับ / สินค้าเสียหาย
แยกให้ชัด ไม่ปะปนกับของขายปกติ
แค่แบ่งโซนให้ชัด ทีมงานก็จะเริ่ม “จำระบบในคลัง” ได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสเดินหลง เดินข้ามไปมา
2. แบ่งหมวดหมู่สินค้าให้ชัด ก่อนขึ้นชั้นวาง
หลักการคือ “ของที่ใกล้กัน ก็ควรเก็บใกล้กัน” เพื่อให้หยิบง่าย ไม่ต้องวิ่งหลายรอบ
ตัวอย่างการแบ่งหมวดหมู่:
-
แบ่งตามประเภทสินค้า
-
เช่น อุปกรณ์เซฟตี้, บรรจุภัณฑ์, อะไหล่, สินค้าพร้อมขาย
-
-
แบ่งตามแบรนด์ / ซีรีส์
-
เหมาะกับคลังที่สินค้าต่างกันแต่รูปแบบใกล้เคียง
-
-
แบ่งตามขนาด / น้ำหนัก
-
ของหนักวางชั้นล่าง ของเบาไว้ชั้นบน
-
-
แบ่งตามอุณหภูมิหรือเงื่อนไขพิเศษ
-
สินค้าที่ต้องกันชื้น กันแดด หรือสินค้าอันตราย
-
เมื่อจัดหมวดหมู่แล้ว ให้กำหนด “โซนรหัส” เช่น A = โซนอุปกรณ์เซฟตี้, B = โซนอะไหล่, C = โซนแพ็คกิ้ง ฯลฯ เพื่อใช้คู่กับรหัสตำแหน่งในชั้นวาง
3. ใช้หลัก ABC / ความถี่การหยิบ ช่วยจัดตำแหน่ง
จัดชั้นวางตามความถี่การขาย / การหยิบ ลดเวลาการเดินของพนักงาน
-
สินค้า Class A
-
ขายดี / หยิบบ่อย
-
ควรวางในตำแหน่งใกล้จุดแพ็คหรือประตูคลัง
-
อยู่ในระดับสายตา – ระดับมือหยิบสะดวก
-
-
สินค้า Class B
-
ขายปานกลาง
-
อยู่โซนถัดเข้าไปลึกหน่อย หรือชั้นบน-ล่างกว่าชั้นหลัก
-
-
สินค้า Class C
-
ขายช้า / เป็นสต๊อกสำรอง
-
วางชั้นบนสุด หรือโซนลึกของคลัง
-
วิธีนี้ช่วยให้เวลาหยิบของ 1 Order ต้องเดินน้อยลงมาก โดยเฉพาะคลังที่ออเดอร์เยอะในแต่ละวัน
4. กำหนด “รหัสชั้นวาง” ให้ทุกตำแหน่งมีที่อยู่ชัดเจน
ของทุกชิ้นในคลังควรมี “ที่อยู่” ซึ่งอ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าอยู่ตรงไหน เช่น
โครงสร้างรหัสตัวอย่าง:โซน – แถว – ชั้น – ตำแหน่ง
เช่น
-
A-02-03-04-
A = โซนสินค้าเซฟตี้
-
02 = แถวที่ 2
-
03 = ชั้นที่ 3
-
04 = ตำแหน่งช่องที่ 4
-
เคล็ดลับ:
-
แปะ ป้ายรหัสใหญ่ ๆ ที่ปลายแถว
-
แปะ รหัสชั้น / รหัสช่อง ที่ชั้นวางแต่ละช่อง
-
ถ้าใช้บาร์โค้ด/QR ร่วมกับระบบสต๊อก จะช่วยลดการจดผิดและค้นหาผ่านระบบได้ทันที
5. ออกแบบชั้นวางให้เหมาะกับสินค้าและการหยิบ
ไม่ใช่ทุกคลังต้องใช้ชั้นแบบเดียวกัน ลองดูปัจจัยเหล่านี้ประกอบ:
-
ความสูงของชั้นวาง
-
ปกติจะออกแบบให้ “โซนหยิบบ่อย” อยู่ที่ระดับ 80–140 ซม.
-
ชั้นบนสุดสำหรับสต๊อกสำรอง ใช้บันไดหรือรถยกช่วย
-
-
ความลึกและความกว้างของชั้น
-
ถ้าลึกเกินไป ของที่อยู่ด้านหลังจะถูกลืม
-
บางสินค้าเหมาะกับการจัดแบบ “หน้าเดียวเห็นครบ” จะหยิบง่ายกว่า
-
-
น้ำหนักรับได้ของแต่ละชั้น
-
สินค้าหนัก เช่น เหล็ก อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ ควรเลือกชั้นวางเหล็กหนา รับน้ำหนักสูง
-
หลีกเลี่ยงการเอาของหนักไปไว้ชั้นบน
-
-
การจัดแถวทางเดิน (Aisle)
-
เว้นทางเดินให้รถเข็นหรือโฟล์คลิฟต์เลี้ยวได้
-
ถ้า Order เยอะ อาจจัดเลย์เอาต์ทางเดินแบบ “วนทางเดียว” เพื่อลดการชนกันของพนักงาน
-
6. ทำป้ายบอกทางและป้ายหมวดหมู่ให้ชัด
คลังที่จัดดี แต่ไม่มีป้าย = คนใหม่เข้าแล้วงง
ควรมี:
-
ป้ายบอก โซน A / B / C… ขนาดใหญ่
-
ป้ายบอกหมวดหมู่ เช่น “ถุงมือเซฟตี้”, “หน้ากากกรองสารเคมี”, “อะไหล่เครื่องจักร”
-
ป้ายแสดง รหัสชั้น และ ตำแหน่ง ให้ชัด แม้ยืนไกลก็ยังเห็น
-
ใช้สีช่วยแยกหมวด เช่น
-
สีแดง = สินค้าอันตราย
-
สีเขียว = สินค้าพร้อมขาย
-
สีเหลือง = สินค้ารอคัดแยก/เคลม
-
ป้ายชัดเท่ากับลดการถามซ้ำ ลดเวลาหาของโดยไม่จำเป็น
7. กำหนดกติกาการเก็บสินค้าให้ทีมใช้เหมือนกัน
จัดดีแค่ไหน ถ้าแต่ละคนเก็บคนละแบบ สุดท้ายก็กลับมารกเหมือนเดิม
ควรกำหนดกติกา เช่น
-
ห้ามวางของเกินขีดโหลดของชั้น
-
ห้ามวางของล้นออกมานอกชั้น
-
ห้ามสลับหมวดหมู่โดยไม่แก้ในระบบ
-
ถ้าของเปลี่ยนตำแหน่ง ต้องอัปเดตในระบบทุกครั้ง
-
มีรอบ ตรวจเช็กป้าย / รหัส / ความเรียบร้อย อย่างน้อยเดือนละครั้ง
8. ใช้ระบบสต๊อกมาช่วยจำตำแหน่ง
ถ้าคลังเริ่มใหญ่ ไม่ควรพึ่ง “ความจำคน” อย่างเดียว
-
ใช้ Excel, Google Sheet หรือโปรแกรมสต๊อก
-
บันทึกข้อมูลอย่างน้อย:
-
ชื่อสินค้า
-
รหัสสินค้า (SKU)
-
รหัสตำแหน่งชั้นวาง
-
จำนวนคงเหลือ / จำนวนสำรองขั้นต่ำ
-
-
เวลาพนักงานค้นหาสินค้า ให้ดูจากระบบก่อน แล้วไปตามรหัสที่อยู่ (Location Code)
แบบนี้แม้มีพนักงานใหม่ ก็สามารถทำงานต่อได้ ไม่ต้องอยู่ได้เพราะ “คนที่จำคลังคนเดียว”
9. ทบทวนเลย์เอาต์ชั้นวางเป็นระยะ
ความถี่การขายสินค้าไม่ได้คงที่ตลอด บางตัวจากขายช้าอาจกลายเป็นดาวเด่น และบางตัวอาจขายน้อยลง
ควรมีรอบรีวิว เช่น ทุก 3–6 เดือน
-
ดูว่าสินค้าไหนกลายเป็น Best Seller → ย้ายมาโซนหน้าใกล้จุดหยิบ
-
สินค้าไหนเคลื่อนไหวน้อย → ย้ายไปโซนลึก / ชั้นบน
-
ปรับหมวดหมู่ให้ตามการใช้งานจริง ถ้าแผนเดิมทำให้พนักงานสับสนก็ไม่ต้องยึดติดกับแบบแรก
เลย์เอาต์คลังที่ดีคือเลย์เอาต์ที่ “ปรับตามการใช้งานจริง” ไม่ใช่แบบที่วางแล้วห้ามเปลี่ยน
#ชั้นวางสินค้า #จัดคลังสินค้า #บริหารสต๊อก #จัดเลย์เอาต์คลัง #คลังสินค้าจัดระเบียบ #ระบบคลังสินค้า #warehouse #warehouselayout #inventorymanagement #storageRack
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line : @002dihds
