ชั้นลอยน็อคดาวน์ เลือกดีครั้งเดียว ใช้คุ้มทั้งคลัง
ชั้นลอยน็อคดาวน์ (Knock-Down Mezzanine) ไม่ได้มีแค่แบบเดียวจบ แต่มีทั้งแบบรับของเบา–ของหนัก แบบใช้เดินหยิบของ แบบทำออฟฟิศบนชั้นลอย หรือแบบเก็บพาเลทเต็มพื้นที่
ถ้า “เลือกไม่ตรงกับการใช้งานจริง” จะเจอปัญหาเหล่านี้ทันที:
-
รับน้ำหนักไม่พอ ใช้ไปก็เริ่มกังวล
-
Layout ไม่เหมาะกับวิธีจัดเก็บของในคลัง เดินวนไกล หยิบช้า
-
อยากปรับเปลี่ยนในอนาคต แต่โครงสร้างไม่รองรับ
บทความนี้จะช่วยเป็น “คู่มือเบื้องต้น” ในการเลือก ชั้นลอยน็อคดาวน์ให้ตรงกับคลังสินค้าและรูปแบบการจัดเก็บของคุณ มากที่สุด
1. เริ่มจากคำถามง่าย ๆ: คุณจะใช้ชั้นลอยทำอะไร?
ก่อนดูราคา หรือแบบสวย–ไม่สวย ให้ถามตัวเองก่อนว่า
“ชั้นลอยนี้จะใช้ทำอะไรเป็นหลัก?”
ตัวอย่างการใช้งานยอดนิยม:
-
ใช้เก็บกล่อง/สินค้าแบบหยิบมือ (Picking / Small Parts)
-
ใช้เก็บพาเลทเต็ม ๆ แถว
-
ใช้เป็นพื้นที่แพ็กของ / แยกออเดอร์
-
ใช้เป็นออฟฟิศ, ห้องประชุม, ห้อง QC บนชั้นลอย
-
ใช้ผสมกันหลายอย่างในโซนเดียว
การใช้งานเหล่านี้จะส่งผลตรง ๆ ต่อ:
-
น้ำหนักที่ต้องรองรับ (kg/ตร.ม.)
-
ประเภทพื้นชั้นลอย
-
ความสูงใต้ชั้น – บนชั้น
-
การออกแบบบันได ทางเดิน และราวกันตก
ยิ่งตอบได้ชัดตั้งแต่แรก การออกแบบชั้นลอยน็อคดาวน์ก็จะยิ่ง “ตรงตัว” กับการทำงานในคลังของคุณ
2. เช็กน้ำหนักและรูปแบบการจัดเก็บ: เก็บแบบไหน เลือกแบบนั้น
การจัดเก็บในคลังหนึ่งแห่งอาจมีหลายแบบผสมกัน เช่น
-
กล่องบนชั้นเหล็ก
-
สินค้าชิ้นเล็กในถัง/ลัง
-
พาเลทบนชั้น Rack
-
ของยาว ของพิเศษ เช่น ท่อ แผ่นไม้ เหล็กเส้น
หลักการง่าย ๆ ในการเลือกชั้นลอยให้เหมาะกับรูปแบบจัดเก็บ
-
ถ้าเป็น สินค้าเบา กล่อง/ลัง หยิบมือเป็นหลัก
→ เลือกชั้นลอยที่ออกแบบพื้นให้เดินและวางของกระจายตัว น้ำหนักต่อ ตร.ม. ปานกลาง แต่เน้นทางเดินหยิบง่าย -
ถ้าเป็น พาเลท หรือของหนักวางเป็นกอง
→ ต้องบอกน้ำหนักต่อพาเลท จำนวนพาเลทต่อจุด และวิธีวางให้ชัด เพื่อให้วิศวกรคำนวณโครงสร้างตรงตามโหลด -
ถ้าเป็น ออฟฟิศ + สต็อกรวมกัน
→ โซนที่เป็นออฟฟิศอาจใช้พื้นแบบต่างจากโซนสต็อก เช่น ปูไม้/แผ่นสำเร็จ ส่วนโซนสต็อกใช้พื้นเหล็กกริตติ้งหรือแผ่นลาย
ยิ่งบอกประเภทของ + วิธีจัดเก็บได้ละเอียดเท่าไหร่ การออกแบบชั้นลอยน็อคดาวน์ก็จะยิ่งปลอดภัยและคุ้มงบเท่านั้น
3. ดูเพดานอาคาร ความสูง และ Flow การเดินของคน–ของ
ชั้นลอยน็อคดาวน์ไม่ได้อยู่ลอย ๆ มันต้อง “พอดี” กับตัวอาคารและการไหลของงานในคลังด้วย
สิ่งที่ควรเช็ก
-
ความสูงอาคารรวม (Floor to Roof)
-
ความสูงใต้ชั้นลอย (ใช้รถยกไหม? รถอะไรเข้าได้บ้าง?)
-
ความสูงบนชั้นลอย (คนเดินสบายไหม? มีของสูงแค่ไหน?)
-
ทางเดินหลัก–ทางเดินรองของคลัง
-
จุดรับ–จุดส่งสินค้า (Inbound/Outbound)
ตัวอย่างแนวคิด
-
ถ้ามีรถโฟล์กลิฟต์วิ่งด้านล่าง → ต้องเผื่อความสูงใต้ชั้นให้รถวิ่งสบาย
-
ถ้าบนชั้นใช้เดินหยิบของ → ควรมีความสูงเพดานบนชั้นให้คนยืนเดินไม่อึดอัด
-
ถ้าต้องยกพาเลทขึ้นชั้นลอย → ควรออกแบบจุดรับ–ส่งพาเลท (Pallet Gate) หรือใช้ลิฟต์/รอกให้เหมาะ
ชั้นลอยที่ดีจึงไม่ใช่แค่ “ตั้งอยู่ได้” แต่ต้อง “เข้ากับ Flow งานในคลัง” ด้วย
4. เลือกพื้นชั้นลอยให้เหมาะกับการใช้งานจริง
พื้นชั้นลอยน็อคดาวน์มีหลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดีต่างกัน
พื้นเหล็กแผ่นลาย (Chequer Plate)
-
เหมาะกับเดิน เทของ วางชั้นเหล็ก
-
ทนทาน ทำความสะอาดง่าย
-
เหมาะกับงานคลังทั่วไป
พื้นเหล็กกริตติ้ง (Grating)
-
น้ำหนักเบา ระบายฝุ่นและสิ่งสกปรกลงด้านล่าง
-
เหมาะกับงานอุตสาหกรรม สินค้าที่ไม่เล็กจนร่วงช่อง
-
ต้องระวังรองเท้าและอุปกรณ์ล้อเล็ก
พื้นไม้ปิดผิว / แผ่นคอมโพสิต
-
เดินสบาย ดูเรียบร้อย
-
เหมาะกับโซนออฟฟิศ หรือโซนแพ็กที่ต้องการหน้าตาดี
-
ต้องดูเรื่องความชื้นและการรับน้ำหนักร่วมด้วย
ให้ดูทั้ง “ลักษณะงาน” และ “ภาพลักษณ์” ที่ต้องการในพื้นที่นั้นประกอบกันก่อนเลือก
5. คิดถึงอนาคต: ขยาย เพิ่มชั้น ย้ายโกดังได้ไหม?
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เลือกชั้นลอยแบบน็อคดาวน์ คือ “ความยืดหยุ่นในอนาคต”
คำถามที่ควรถามกับตัวเองและผู้ออกแบบ
-
อีก 2–3 ปี สต็อกจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน?
-
มีโอกาสย้ายโกดังไปที่ใหม่ไหม?
-
อนาคตอาจเพิ่มชั้นลอยอีกฝั่ง / ต่อขยายได้หรือไม่?
-
อยากให้โครงสร้างรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บ (เช่น จากเก็บกล่อง → เก็บพาเลท) หรือเปล่า?
ถ้ามองระยะยาวตั้งแต่แรก ผู้ออกแบบสามารถ:
-
เลือกโครงสร้างที่ “ต่อเติมง่าย”
-
เผื่อจุดต่อขยาย
-
เลือกระบบเสา–คานที่ใช้ซ้ำได้ในอนาคต
ทำให้ลงทุนครั้งเดียว แต่ใช้ได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องทิ้งของเดิมทั้งหมด
6. ความปลอดภัยและมาตรฐาน: อย่ามองว่าเป็นแค่โครงเหล็ก
ชั้นลอยน็อคดาวน์ที่ดี ต้องมีมากกว่า “ดูแข็งแรงด้วยสายตา”
ควรมี:
-
การคำนวณโครงสร้างโดยวิศวกร
-
เอกสารระบุการรับน้ำหนักต่อ ตร.ม. และโหลดเฉพาะจุด
-
ราวกันตกสูงตามมาตรฐาน
-
บันไดที่กว้างพอ มีราวจับ ปลอดภัยสำหรับขึ้น–ลงประจำ
-
ป้ายบอกน้ำหนักใช้งานสูงสุดในแต่ละโซนชัดเจน
-
พิจารณาเส้นทางหนีไฟร่วมกับโครงสร้างเดิมของอาคาร
ความปลอดภัยเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อคน ทีมงาน และสินค้ามูลค่าสูงในคลังของคุณ
7. เชื่อมการเลือกชั้นลอยเข้ากับระบบจัดเก็บและระบบ WMS
ถ้าคลังของคุณใช้:
-
ระบบ WMS
-
บาร์โค้ด / QR Code
-
ระบบจัดเก็บแบบ ABC / Zone Storage
การออกแบบชั้นลอยน็อคดาวน์ควรเดินไปในทิศทางเดียวกัน เช่น
-
แบ่งโซนบนชั้นลอยให้ตรงกับโซนในระบบ
-
ออกแบบทางเดินและตำแหน่งชั้นให้สแกนบาร์โค้ดง่าย
-
ใช้ป้าย Location Code ให้ตรงกับที่เซ็ตใน WMS
ผลคือทีมคลังไม่ต้อง “แปลภาษาระบบ” ไปเป็น “ภาษาหน้างาน” ซ้ำสอง ทำให้ทำงานได้เร็วและผิดพลาดน้อยลง
FAQ สำหรับ AEO: คำถามที่คนมักค้นหาเกี่ยวกับการเลือกชั้นลอยน็อคดาวน์
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรใช้ชั้นลอยน็อคดาวน์แบบไหน?
เริ่มจาก 3 เรื่องหลัก:
-
ใช้ทำอะไร (เก็บของ / เดินหยิบ / ออฟฟิศ)
-
น้ำหนักต่อ ตร.ม. ที่ต้องการ
-
ความสูงอาคารและ Flow การทำงานในคลัง
จากนั้นให้ผู้ออกแบบช่วยแปลความต้องการไปเป็นสเปกโครงสร้างที่เหมาะสม
ชั้นลอยน็อคดาวน์เหมาะกับโกดังเช่าหรือไม่?
เหมาะมาก เพราะสามารถ:
-
ถอดย้ายไปใช้ที่โกดังใหม่ได้
-
ปรับขนาดและรูปทรงได้ระดับหนึ่ง
-
เป็นทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ ไม่สูญหายไปกับตัวอาคาร
เลือกชั้นลอยไว้ก่อน แล้วค่อยวางระบบจัดเก็บทีหลังได้ไหม?
ทำได้ แต่ไม่แนะนำ
แนวทางที่คุ้มค่ากว่าคือ วางภาพรวมระบบจัดเก็บ + การทำงานในคลัง + การใช้ WMS (ถ้ามี) แล้วค่อยออกแบบชั้นลอยจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบในระยะยาว
สรุป: เลือกชั้นลอยน็อคดาวน์ให้ตรงคลัง = ใช้งานจริงได้เต็มประสิทธิภาพ
การเลือก ชั้นลอยน็อคดาวน์ ให้เหมาะกับคลังสินค้าไม่ใช่แค่การเลือกว่า “เอากี่เมตร กี่เสา”
แต่คือการมองทั้ง รูปแบบการจัดเก็บสินค้า, Flow งานในคลัง, น้ำหนักที่ต้องรองรับ, ความยืดหยุ่นในอนาคต และความปลอดภัยของทั้งทีมและสินค้า
ถ้าคุณเริ่มจากการตอบคำถามให้ชัดว่า “คลังของคุณทำงานยังไง” และ “อยากให้ชั้นลอยช่วยอะไร”
การออกแบบชั้นลอยน็อคดาวน์จะกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ใช้งานได้จริง และรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
