1. เริ่มจาก “ภาพรวมโกดัง” ก่อนซื้อชั้นวาง
ก่อนจะสั่งชั้นวางเหล็ก ต้องตอบคำถามพวกนี้ให้ได้ก่อน
-
ขนาดโกดัง: กว้าง x ยาว x สูง เท่าไหร่
-
ของที่เก็บคืออะไร
-
กล่องกระดาษ / ลังพลาสติก / พาเลท
-
หนักแค่ไหนต่อ 1 ชั้น / 1 ช่อง
-
-
รูปแบบการหยิบของ
-
หยิบจากคนเดิน (Man to goods)
-
ใช้โฟล์กลิฟต์ รถลากพาเลท
-
-
ของเข้า–ออกบ่อยแค่ไหน
-
มีสต๊อกหมุนเร็ว / หมุนช้า
-
ข้อมูลพวกนี้จะมีผลต่อ ชนิดชั้นวาง ระยะทางเดิน และความสูงชั้น โดยตรง
2. แบ่งโซนในโกดังให้ชัดก่อนวางชั้น
ลองแบ่งโกดังเป็น 4 โซนหลัก ๆ
-
โซนรับสินค้าเข้า (Inbound)
-
สำหรับรับของ เช็คสต๊อก และพักของก่อนเข้าชั้นวาง
-
-
โซนจัดเก็บหลัก (Storage Zone)
-
พื้นที่ที่ใช้ชั้นวางเหล็กเรียงเป็นแถว ๆ
-
ต้องวางแผนดี ๆ เพื่อใช้พื้นที่ “แนวตั้ง + แนวนอน” ให้คุ้ม
-
-
โซนเตรียมของส่ง (Picking / Packing Zone)
-
พื้นที่หยิบของ แพ็กของ ก่อนส่งออก
-
-
โซนทางเดินหลัก / ทางเดินโฟล์กลิฟต์
-
วางทางเดินให้หมุนรอบพื้นที่เก็บของได้ ไม่ต้องถอยกลับตลอด
-
เมื่อโซนชัด การจัดชั้นวางจะไม่มั่ว และคนทำงานก็จะจำตำแหน่งได้ง่าย
3. เลือก “ชนิดชั้นวางของเหล็ก” ให้เหมาะกับงาน
แบบคร่าว ๆ ที่เจอในโกดังทั่วไป เช่น
-
Selective Rack (ชั้นวางพาเลททั่วไป)
-
เหมาะกับโกดังที่ใช้พาเลท
-
หยิบของได้ทุกพาเลท ไม่ต้องยกของด้านหน้าออกก่อน
-
-
ชั้นวางเหล็กบรรทุกหนัก (Heavy Duty Shelving)
-
เหมาะกับกล่อง / ลัง / ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม
-
รองรับน้ำหนักต่อชั้นสูง แต่ยังให้พนักงานเดินหยิบเองได้
-
-
ชั้นวางเหล็กบรรทุกกลาง–เบา (Medium / Light Duty)
-
ใช้กับสินค้าน้ำหนักเบา–ปานกลาง สต๊อกอะไหล่ ของเบ็ดเตล็ด
-
-
Mezzanine / ชั้นลอย
-
ถ้าโกดังสูงแต่พื้นที่พื้นไม่เยอะ เพิ่ม “ชั้นลอย” เพื่อใช้ความสูงให้คุ้ม
-
เลือกชนิดให้ตรงกับ “น้ำหนักของจริง” และ “วิธีหยิบของ” จะช่วยให้ลงทุนไม่เกินจำเป็น และใช้งานได้ยาว
4. วางแผนแถวชั้นวาง / ทางเดิน ให้พื้นที่คุ้มสุด
4.1 การวางแนวชั้นวาง
-
วางชั้นวางให้ “ขนานกับทางเดินหลัก”
-
แถวชั้นวางควรมี “ทางเดินตรงกลาง” สำหรับโฟล์กลิฟต์หรือรถเข็น
-
หลีกเลี่ยงการวางชั้นเป็นเขาวงกต ทำให้หาของยาก
4.2 ความกว้างทางเดิน (คร่าว ๆ)
-
ถ้าเป็น โกดังคนเดินหยิบ
-
ทางเดิน ~ 90–120 ซม. เดินสวนกันได้
-
-
ถ้าใช้ โฟล์กลิฟต์ / รถยก
-
ต้องดูรัศมีเลี้ยวของรถ (โดยทั่วไปมักใช้ 2.5–3.5 เมตร แล้วแต่รุ่น)
-
หลักคิดง่าย ๆ
ทางเดินไม่ควรแคบจนทำงานลำบาก แต่ก็ไม่ควรกว้างเกินไปจนเปลืองพื้นที่เก็บของ
5. ใช้ “ความสูง” ให้คุ้ม ไม่ใช่แค่พื้นที่พื้น
โกดังที่สูง แต่ใช้ชั้นเตี้ย ๆ = เสียพื้นที่ฟรีไปเยอะมาก
-
เลือกชั้นวางที่สูงขึ้น (ตามความปลอดภัยและอุปกรณ์ยก)
-
เผื่อระยะระหว่างชั้นให้พอหยิบของ / ยกพาเลทได้
-
ถ้าโกดังสูงมาก อาจใช้ ชั้นลอย (Mezzanine) เพื่อเพิ่มพื้นที่อีกชั้นสำหรับเก็บของเบา หรือพื้นที่แพ็กของ
6. จัดสินค้าบนชั้นให้หยิบง่าย–ลดเวลาหาของ
-
ของหมุนเร็ว (Fast Moving)
-
วางไว้ “ระดับกลาง–ล่าง” ไม่ต้องเอื้อมมาก และอยู่ใกล้โซนหยิบ–แพ็ก
-
-
ของหมุนช้า (Slow Moving)
-
วางไว้ชั้นบนหรือแถวที่ไกลออกไปหน่อย
-
-
ของหนัก → วางชั้นล่าง
-
ของเบากว่า → วางชั้นบน
ใช้หลัก “ใกล้ทางออก = ของที่หยิบบ่อย” ช่วยลดเวลาเดิน และลดการเดินซ้ำไปมา
7. ป้าย / รหัสชั้น / ระบบจัดเก็บ ช่วยให้โกดังไม่กลับมารก
ชั้นวางดีแล้ว ถ้าไม่มีระบบ ก็รกได้เหมือนเดิม
-
ทำเลขที่ชั้น–แถว–ช่อง (Location Code)
-
เช่น แถว A ชั้น 02 ช่อง 03 → A-02-03
-
เวลาเช็คสต๊อกหรือบอกตำแหน่งของจะง่ายมาก
-
-
ทำป้ายบอกหมวดสินค้าแต่ละแถว
-
เช่น “สินค้าเข้า–ออกเร็ว”, “อะไหล่เครื่องจักร”, “วัตถุดิบ”
-
-
มีกฎง่าย ๆ ในทีม
-
หยิบจากตรงไหน ต้องคืน/จัดของเข้าตรงนั้น
-
ห้ามวางของเกินระดับที่กำหนด เพื่อความปลอดภัย
-
8. อย่าลืมเรื่องความปลอดภัยในโกดัง
-
ยึดชั้นวางกับพื้นหรือผนังในจุดที่เหมาะสม
-
ไม่บรรทุกเกินน้ำหนักที่กำหนดต่อชั้น
-
เว้นช่องทางหนีไฟและทางเดินหลักให้ชัดเจน
-
ตรวจเช็กชั้นวางและโครงสร้างเป็นระยะ
โกดังที่ใช้พื้นที่คุ้ม แต่ต้อง “ปลอดภัย” ด้วยเสมอ
คำทิ้งท้าย (พร้อมลิงก์ไปหน้าสินค้า)
ถ้าคุณกำลังวางแผนจัดโกดังใหม่ หรืออยากปรับโกดังเดิมให้เป็นระเบียบและใช้พื้นที่ได้คุ้มขึ้น การเลือก ชั้นวางของเหล็กที่เหมาะกับงานจริง คือจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความรก ลดเวลาเดินหาของ และเพิ่มพื้นที่เก็บได้แบบเห็นภาพ
👉 สนใจดูรุ่นชั้นวางเหล็กสำหรับโกดังของคุณ คลิกดูรายละเอียดได้ที่หน้าสินค้า: ดูชั้นวางเหล็กสำหรับโกดัง
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : Line : @002dihds
