ชั้นวางดี + WMS ดี = คลังทำงานลื่นแบบไม่สะดุด
ทุกวันนี้คลังสินค้าไม่ได้มีแค่ชั้นวางของเหล็กเรียงกันเป็นแถว ๆ อีกต่อไป แต่ต้องทำงานร่วมกับ ระบบ WMS (Warehouse Management System) เพื่อให้เช็กสต็อกได้แบบเรียลไทม์ จัดเส้นทางหยิบของได้เร็ว และลดความผิดพลาดของคนให้มากที่สุด
แต่ถ้า “ออกแบบชั้นวาง” ไม่สอดคล้องกับ “ระบบ WMS” ต่อให้มีซอฟต์แวร์ดีแค่ไหน การทำงานจริงก็จะยังติดขัด ทั้งเดินไกล หยิบยาก และข้อมูลไม่ตรงกับหน้างานอยู่ดี
บทความนี้จะพาไปดูหลักคิดในการออกแบบ ชั้นวางของเหล็กในคลังสินค้า ให้ทำงานร่วมกับ WMS ได้ลื่นไหลตั้งแต่วันแรก
1. เริ่มจากการกำหนดโซนจัดเก็บ (Storage Zone) ให้ตรงกับการตั้งค่าใน WMS
พื้นฐานของ WMS คือการแบ่งพื้นที่คลังออกเป็น โซน / โซนย่อย / ตำแหน่งจัดเก็บ (Location / Slot)
ดังนั้น การออกแบบชั้นวางของเหล็กควรเริ่มจาก “ภาษาของระบบ” ก่อน ไม่ใช่จากแบบแปลนอย่างเดียว
ตัวอย่างการแบ่งโซนยอดนิยม
-
โซนสินค้าเข้าใหม่ (Inbound / Receiving)
-
โซนจัดเก็บหลัก (Storage / Reserve)
-
โซนหยิบของเร็ว (Fast Picking / Pick Face)
-
โซนคืนของ / สินค้าชำรุด / สินค้าตีกลับ
-
โซนจัดชุดคำสั่งซื้อ (Packing / Consolidation)
เมื่อโซนในแบบชั้นวาง ตรงกับโซนใน WMS การบันทึกตำแหน่ง, การสแกนบาร์โค้ด และการหาของจะง่ายขึ้นมาก เพราะทุกอย่างใช้โครงสร้างเดียวกัน
2. ออกแบบชั้นวางของเหล็กให้รองรับ “รหัสตำแหน่งจัดเก็บ” (Location Code)
ระบบ WMS มักใช้รหัสตำแหน่ง (เช่น A-01-03-02) เพื่อระบุว่า
แถวไหน (Aisle) – คอลัมน์ไหน (Bay) – ระดับชั้นที่เท่าไหร่ (Level) – ช่องที่เท่าไหร่ (Slot)
ดังนั้นตอนออกแบบชั้นวางของเหล็กควร:
-
แบ่ง แถว (Aisle) ให้ชัด ว่าคือ A, B, C…
-
แบ่ง ช่วงเสา (Bay) ให้พอดีกับความกว้างของสินค้า/พาเลท
-
แบ่ง ระดับความสูง (Level) ตามน้ำหนักและความถี่ในการหยิบ
-
เตรียม ป้ายรหัสชั้น / ป้ายบอกตำแหน่ง ให้ตรงกับที่ตั้งค่าใน WMS
ผลลัพธ์คือพนักงานแค่ดูรหัสจาก WMS → เดินไปที่แถวและตำแหน่งที่ระบบบอก → หยิบของได้ทันทีโดยไม่งง
3. ใช้หลัก ABC Analysis ออกแบบตำแหน่งวางสินค้าในชั้นให้หยิบเร็วขึ้น
WMS ส่วนใหญ่รองรับการจัดกลุ่มสินค้าแบบ ABC (A = ขายบ่อย, B = ปานกลาง, C = ขายน้อย)
ถ้านำข้อมูลนี้มาผูกกับการออกแบบชั้นวางของเหล็ก จะช่วยให้คลังทำงานเร็วขึ้นแบบจับต้องได้
แนวทางวางของให้สอดคล้องกับ WMS
-
สินค้า กลุ่ม A (หมุนเร็ว)
-
วางที่ระดับ “กลาง – เอว – อก” ที่หยิบง่ายที่สุด
-
อยู่ใกล้โซนหยิบ/แพ็ก เพื่อลดระยะเดิน
-
-
สินค้า กลุ่ม B
-
วางระดับสูงขึ้นหรือไกลขึ้นเล็กน้อย แต่ยังเข้าถึงง่าย
-
-
สินค้า กลุ่ม C
-
วางชั้นบนสุดหรือชั้นล่างสุด / แถวที่ไกลกว่า เพราะหยิบน้อยครั้ง
-
เมื่อชั้นวางถูกออกแบบให้ตรงกับโครงสร้างสินค้าใน WMS ทีมคลังจะหยิบของได้น้อยสเต็ปลง แต่ทำงานได้เร็วขึ้นอย่างชัดเจน
4. เผื่อพื้นที่ให้การสแกนบาร์โค้ด และอุปกรณ์ทำงานได้สะดวก
การใช้ WMS มักมาพร้อมกับ:
-
เครื่องสแกนบาร์โค้ด (Handheld / PDA)
-
แท็บเล็ต / หน้าจอแสดงคำสั่งหยิบ
-
รถโฟล์กลิฟต์ / แฮนด์ลิฟต์ที่ต้องเข้า–ออกระหว่างชั้นวาง
การออกแบบชั้นวางของเหล็กจึงควรคำนึงถึง:
-
ความกว้างของทางเดินที่พนักงาน + อุปกรณ์ยก + การสแกนบาร์โค้ดทำงานพร้อมกันได้
-
มุมมองการมองเห็นป้ายตำแหน่ง (อย่าวางสูงเกินไปหรือบังด้วยโครงชั้น)
-
ตำแหน่งสำหรับติดจอ, แท็บเล็ต, หรือฐานชาร์จอุปกรณ์
หากละจุดนี้ไป พนักงานจะต้องหมุนตัว หลบของ หรือเอื้อมสแกนในท่าทางลำบาก ทำให้การทำงานช้าลง แม้ WMS จะสั่งงานได้ละเอียดก็ตาม
5. เชื่อมการออกแบบชั้นวางกับกระบวนการ Inbound–Outbound ใน WMS
การออกแบบชั้นวางของเหล็กควรไหลตาม “เส้นทางการทำงาน” ของ WMS ตั้งแต่ของเข้าไปจนของออกจากคลัง
เส้นทางพื้นฐาน
-
สินค้าเข้า (Inbound / Receiving)
-
ตรวจรับ / สแกนเข้า WMS
-
WMS แนะนำตำแหน่งจัดเก็บ (Put-away)
-
จัดเก็บที่ชั้นวางตามโซน–รหัสตำแหน่ง
-
มีคำสั่งหยิบ (Picking)
-
รวมคำสั่ง / ตรวจนับ / แพ็ก
-
ส่งออก (Outbound / Shipping)
การออกแบบ layout ชั้นวางจึงควรจัดให้:
-
ทิศทางการเคลื่อนที่เป็น “วงจรเดียว” ลดการเดินวนซ้ำ
-
จุดรับ–จุดแพ็ก–จุดจัดเก็บหลัก ไม่ไกลจนเกินไป
-
โซนสินค้า Fast Moving อยู่ในตำแหน่งที่ WMS สั่งงานบ่อยที่สุด
ผลคือ WMS จะไม่ได้เป็นแค่ “โปรแกรมบอกตำแหน่ง” แต่กลายเป็นตัวควบคุม Flow งานในคลังที่ใช้ประโยชน์จากชั้นวางเต็มประสิทธิภาพ
6. วางโครงสร้างชั้นวางให้ยืดหยุ่น เผื่อการปรับ Config ใน WMS
เมื่อธุรกิจโตขึ้น โครงสินค้า เปอร์เซ็นต์ ABC หรือโครงสร้าง SKU ใน WMS มักต้องปรับเปลี่ยน การออกแบบชั้นวางควรรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่น:
-
เลือกชั้นวางของเหล็กที่ ปรับระดับชั้นได้
-
ออกแบบให้สามารถ ย้ายแถว / ต่อขยาย ได้โดยใช้เสาและคานชุดเดิม
-
ใช้ระบบป้าย / Coding ที่เปลี่ยนง่าย เมื่อมีการเพิ่มโซน / แยกโซนใหม่ใน WMS
ยิ่งชั้นวางยืดหยุ่นเท่าไหร่ การปรับ Config ใน WMS ก็ทำได้โดยไม่ต้องลงทุนรื้อหรือเปลี่ยนชั้นวางใหม่ทั้งคลัง
FAQ สำหรับ AEO: คำถามที่คนมักค้นหาเกี่ยวกับชั้นวาง + WMS
ชั้นวางของเหล็กแบบไหนเหมาะกับการใช้ร่วมกับระบบ WMS?
ควรเป็นชั้นวางของเหล็กที่:
-
มีโครงสร้างแบบโมดูลาร์ (Modular)
-
แบ่งเป็นแถว–ช่วง–ชั้นได้ชัดเจน
-
รองรับการติดป้ายรหัสตำแหน่ง
-
ปรับระดับชั้นและต่อขยายได้
เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้าง Location ที่ตั้งค่าไว้ใน WMS
ถ้ามีคลังอยู่แล้ว จะเริ่มใช้ WMS กับชั้นวางเดิมได้ไหม?
ทำได้ แต่ควร:
-
สำรวจโครงสร้างชั้นวางเดิม และแมปกับโครงสร้างรหัสใน WMS
-
ปรับการติดป้าย / แบ่งโซนใหม่ให้สอดคล้องกับระบบ
-
หากมีจุดที่ใช้งานติดขัด ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนชั้นวางบางส่วนให้เหมาะกับ Flow งานใหม่
ออกแบบชั้นวางของเหล็กให้ทำงานกับ WMS ต้องเริ่มจากใครก่อน? ไอทีหรือทีมคลัง?
ดีที่สุดคือให้ ทีมคลังสินค้า + ทีมไอที/ซอฟต์แวร์ + ผู้ออกแบบ/ผู้ผลิตชั้นวาง ทำงานร่วมกันตั้งแต่ช่วงวางแผน
เพราะข้อมูลจาก WMS, ข้อจำกัดหน้างาน และความคุ้มค่าด้านโครงสร้าง ต้องมาจากทั้งสามด้านพร้อมกัน
สรุป: ให้ชั้นวางของเหล็กเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบบคลัง” ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์เก็บของ
ถ้าคุณมอง ชั้นวางของเหล็ก เป็นเพียงโครงเหล็กวางสินค้า การลงทุนใน WMS อาจไม่สร้างประสิทธิภาพได้เต็มที่
แต่ถ้าคุณออกแบบชั้นวางให้สอดคล้องกับโซน, รหัสตำแหน่ง, กระบวนการ Inbound–Outbound และข้อมูล ABC ใน WMS
-
คลังจะทำงานได้ลื่นไหลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
-
ทีมคลังใช้ข้อมูลจากระบบได้จริง ไม่ใช่แค่กรอกข้อมูลตามหน้าจอ
-
ทุกชั้น ทุกแถว มีเหตุผลของการจัดวาง รองรับการขยายต่อในอนาคต
