ชั้นวางสินค้า

พอร้านออนไลน์เริ่มมียอดสั่งซื้อเยอะขึ้น “ตู้เก็บของธรรมดา” ก็เริ่มเอาไม่อยู่ หลายร้านเริ่มทำคลังเก็บของเอง แต่ติดปัญหาเดียวกันคือ ของแน่น รก หยิบยาก สต๊อกมั่ว ทั้งที่จริงแล้วถ้าเลือก “ชั้นวางสินค้า” ให้เหมาะตั้งแต่แรก จะช่วยให้จัดของง่าย หยิบเร็ว และรองรับการขยายตัวในอนาคตได้สบายกว่าเดิม

มาดูหลักการเลือกชั้นวางสำหรับร้านออนไลน์ที่มีคลังเก็บของเองแบบเข้าใจง่ายกัน


1. เริ่มจาก “สไตล์ธุรกิจ” และปริมาณออเดอร์

ก่อนเลือกชั้นวาง ลองประเมิน 3 เรื่องนี้ก่อน

  • ขายอะไรเป็นหลัก

    • ของชิ้นเล็ก เช่น เครื่องสำอาง, accessories, gadget

    • ของชิ้นใหญ่ เช่น กล่องเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์โรงงาน

  • ปริมาณออเดอร์ต่อวัน

    • ถ้าออเดอร์เยอะ ต้องเน้น “หยิบเร็ว” มากกว่า “เก็บแน่น”

  • รูปแบบการแพ็คของ

    • หยิบทีละชิ้นตามออเดอร์ (Order Picking)

    • หรือหยิบเป็นล็อตเดียวกันทีละหลายออเดอร์ (Batch Picking)

ธุรกิจที่ออเดอร์เยอะและสินค้าชิ้นเล็ก จะเหมาะกับชั้นวางที่หยิบง่าย มองเห็นของชัดมากกว่าชั้นที่เน้นเก็บสต๊อกลึก ๆ


2. เช็กประเภทสินค้า ก่อนเลือกประเภทชั้นวาง

2.1 ขนาดและน้ำหนักของสินค้า

  • สินค้าเบา กล่องไม่ใหญ่ → ชั้นเหล็กทั่วไป / ชั้นเหล็กบล็อคล็อก (Boltless Rack) ก็เพียงพอ

  • สินค้าหนัก กล่องใหญ่ → ต้องใช้ชั้นเหล็กวางของหนัก / Selective Rack ที่รองรับน้ำหนักได้มาก

2.2 ลักษณะบรรจุภัณฑ์

  • สินค้าใส่กล่องเท่ากันทุกชิ้น → จัดเรียงสวย หยิบง่าย ใช้ชั้นที่หน้ากว้างเท่ากันได้

  • สินค้าหลากหลายขนาด → เลือกชั้นที่ปรับระดับได้ เผื่ออนาคตเปลี่ยนสินค้า

2.3 เงื่อนไขพิเศษของสินค้า

  • ของแตกง่าย → เลือกชั้นที่วางได้เต็มหน้า ไม่ให้กล่องล้น

  • ของที่ต้องระวังความชื้น/อุณหภูมิ → ต้องดูวัสดุชั้น, ตำแหน่งติดตั้ง และระบบคลังร่วมกัน


3. วัดพื้นที่คลังให้ชัด ก่อนตัดสินใจซื้อ

หลายร้านซื้อชั้นวางมาก่อน แล้วค่อยเอามาเรียงในห้อง ทำให้เสียพื้นที่ทิ้งไปเยอะ

หลักง่าย ๆ คือ:

  • วัด ความกว้าง x ความลึก x ความสูง ของห้องเก็บของ

  • กำหนด ตำแหน่งทางเดิน ให้รถเข็นหรือคนเดินสวนกันได้ (โดยทั่วไป 80–120 ซม.)

  • คิดว่าในห้องนั้น จะใช้:

    • โซนเก็บสต๊อก

    • โซนแพ็คของ

    • โซนเตรียมส่ง / วางพัสดุรอขนส่ง

จากนั้นค่อยคำนวณว่าควรใช้ชั้นกี่ตอน (Bay) และแต่ละตอนกว้างเท่าไร เพื่อใช้พื้นที่ให้คุ้มที่สุด โดยที่ยังเดินหยิบของสะดวก


4. เลือกประเภทชั้นวางให้ตรงงาน

สำหรับร้านออนไลน์ที่มีคลังเอง มักใช้ชั้นวางหลัก ๆ แบบนี้

4.1 ชั้นเหล็กวางของทั่วไป / ชั้นเหล็กบล็อคล็อก

  • เหมาะกับ: ร้านออนไลน์ที่สินค้าน้ำหนักปานกลาง–ค่อนข้างเบา

  • จุดเด่น:

    • ประกอบง่าย ไม่ต้องเชื่อม

    • ปรับระดับแผ่นชั้นได้

    • ย้าย/ขยายง่าย

4.2 ชั้นวางของหนัก (Heavy Duty Rack / Selective Rack ขนาดเล็ก)

  • เหมาะกับ: สินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก มีสต๊อกจำนวนเยอะ

  • จุดเด่น:

    • รองรับน้ำหนักต่อชั้นได้สูง

    • รองรับการใช้พาเลท / รถยก (ในกรณีคลังใหญ่ขึ้นในอนาคต)

4.3 ชั้นสำหรับหยิบเร็ว (Picking Rack / ชั้นหยิบ)

  • เหมาะกับ: สินค้าชิ้นเล็ก–กลาง ที่หยิบบ่อย

  • จุดเด่น:

    • ดีไซน์ให้หยิบจากด้านหน้าได้เร็ว

    • ใช้ร่วมกับกล่องพลาสติก/ลังเก็บของให้จัดหมวดหมู่ยิบย่อยได้

ในคลังหนึ่งที่ดี มักจะไม่ได้มีชั้นวางแบบเดียว แต่เป็น “ผสมกัน” ระหว่างโซนสต๊อกหลักกับโซนหยิบสินค้า


5. ดูเรื่อง “น้ำหนักรับต่อชั้น” ให้ละเอียด

เวลาเลือกชั้นวาง อย่าดูแต่รูป ให้ดูสเปกด้วยว่า:

  • รับน้ำหนักต่อชั้นได้กี่กิโลกรัม

  • ถ้าคุณวางกล่องสินค้าซ้อนกัน 4–5 กล่องต่อชั้น → รวมแล้วหนักเท่าไร

  • ถ้าไม่มั่นใจ ให้ลองคำนวณเผื่อไว้ 20–30% เพื่อความปลอดภัย

ชั้นที่รับน้ำหนักไม่ถึง จะทำให้เหล็กแอ่น ตัวชั้นเบี้ยว และเสี่ยงต่อการล้มในระยะยาว


6. อย่าลืม “การจัดหมวดหมู่ + ป้ายกำกับ” ไปพร้อมกัน

เลือกชั้นดีแล้ว ถ้าไม่มีระบบจัดเรียงก็ยังรกอยู่ดี

  • แยกชั้น/ตอน ตามหมวดสินค้า หรือแบรนด์

  • ใช้กล่องพลาสติก/ลังแบ่งช่องย่อยสำหรับของชิ้นเล็ก

  • ทำป้ายหน้าชั้น เช่น

    • A1 = สกินแคร์

    • B1 = อุปกรณ์เสริม

    • C1 = สินค้า Clearance

  • ถ้ามีระบบสต๊อก ให้ใส่ “รหัสตำแหน่งชั้นวาง” ลงไปด้วย

แบบนี้เวลาแพ็คของตามออเดอร์ จะใช้วิธี “เดินตามรหัสชั้น” ทำให้ไม่หลง ไม่หยิบผิด


7. คิดถึงการขยายในอนาคตตั้งแต่วันนี้

ร้านออนไลน์ที่มียอดขายโต ส่วนใหญ่มีปัญหาว่า

ชั้นวางชุดแรกที่ซื้อ “ดีแหละ” แต่พอจะขยายเพิ่มแล้วจัดผังใหม่ลำบาก

ลองคิดเผื่อไว้ตั้งแต่แรกว่า

  • ชั้นวางที่เลือก ต่อเพิ่มได้ไหม ถ้าคลังต้องขยาย

  • มีรุ่นเดียวกันขายต่อเนื่องหรือไม่ (จะได้ต่อระบบในอนาคตได้ง่าย)

  • เผื่อโซนว่างไว้สำหรับ “สินค้ามาใหม่” และ “สินค้าโปรโมชัน” ที่มักมีปริมาณเยอะช่วงสั้น ๆ

การวางระบบชั้นวางให้ยืดหยุ่นตั้งแต่แรก จะช่วยประหยัดงบในอนาคตได้มาก


สรุปท้ายบทความ

การเลือกชั้นวางสินค้าให้เหมาะกับร้านออนไลน์ที่มีคลังเก็บของเอง ไม่ใช่แค่เรื่อง “สวยหรือถูก” แต่คือการมองภาพรวมทั้งธุรกิจ ตั้งแต่ประเภทสินค้า ปริมาณออเดอร์ พื้นที่คลัง ไปจนถึงการขยายตัวในอนาคต

ถ้าเลือกชั้นได้ตรงงาน ตั้งระบบจัดหมวดหมู่และป้ายกำกับให้ดี คลังของคุณจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้การแพ็คของ “เร็วขึ้น เป็นระเบียบขึ้น และรองรับยอดขายที่โตขึ้นได้แบบไม่ปวดหัว”

#ชั้นวางสินค้า #ชั้นเหล็กวางของ #จัดคลังสินค้า #คลังสินค้าร้านออนไลน์ #จัดสต๊อกสินค้า #จัดระเบียบโกดัง #warehouse #warehousestorage #ecommercebusiness #inventorymanagement

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line : @002dihds