1. เริ่มจาก “ของ” ในโกดังก่อน – ไม่ใช่เริ่มจากชั้นวาง
ก่อนเลือกชั้นวาง เหล็กแบบไหนก็ยังตอบไม่ได้ ถ้ายังไม่รู้ว่าเก็บอะไร
ให้จด 3 อย่างนี้ให้ชัดก่อน
-
ชนิดสินค้า
-
พาเลท, ลังพลาสติก, กล่องกระดาษ, ชิ้นส่วนเครื่องจักร ฯลฯ
-
-
ขนาด & น้ำหนักต่อ 1 ช่องเก็บ
-
หนักสูงสุดกี่กิโล/ชั้น? กี่กิโล/เสาต้นหนึ่ง?
-
-
วิธีหยิบของ
-
หยิบด้วย “คนเดินหยิบ” หรือใช้ โฟล์กลิฟต์/รถยกพาเลท
-
ข้อมูลพวกนี้จะกำหนดว่า
คุณควรใช้ “ชั้นพาเลทแบบแร็ค” หรือ “ชั้นวางเหล็กแบบชั้นทั่วไป (Shelving)”
2. เลือก “ประเภทชั้นวาง” ให้เหมาะงาน
แบบคร่าว ๆ ที่ใช้บ่อยในโกดังมีประมาณนี้
-
Selective Pallet Rack
-
เหมาะกับเก็บพาเลท
-
หยิบได้ทุกพาเลท ไม่ต้องเลื่อนของออกก่อน
-
เหมาะกับสินค้าหลายรหัส (SKU เยอะ)
-
-
ชั้นวางเหล็กบรรทุกหนัก (Heavy Duty Shelving)
-
เก็บกล่อง ลัง หรือชิ้นส่วนที่หนัก
-
คนเดินหยิบได้ ไม่ต้องใช้โฟล์กลิฟต์ในชั้น
-
-
ชั้นวางเหล็กบรรทุกกลาง–เบา (Medium / Light Duty)
-
สต๊อกอะไหล่ งานช่าง ของใช้ทั่วไป
-
-
Mezzanine / ชั้นลอย
-
ใช้กรณีโกดังสูง แต่พื้นที่พื้นมีจำกัด
-
เพิ่มพื้นที่เก็บของหรือทำเป็นโซนแพ็กของด้านบนได้
-
เลือกประเภทผิด = ใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ และเสี่ยงไม่ปลอดภัย
3. เช็ก “น้ำหนักบรรทุก” ให้ชัด (จุดพลาดที่เจอบ่อย)
สิ่งที่ต้องดูให้ละเอียดที่สุดคือ
-
น้ำหนักต่อชั้น (UDL – Uniform Distributed Load)
-
เช่น 500 กก./ชั้น, 1,000 กก./ชั้น
-
ต้องเป็นน้ำหนัก “เฉลี่ยกระจายทั่วชั้น” ไม่ใช่กองกองเดียวตรงกลาง
-
-
น้ำหนักต่อเสาต้น (Bay / Frame Capacity)
-
ทั้งโครง 1 ช่องรับได้เท่าไหร่รวมทุกชั้น
-
-
ชนิดพื้นชั้น
-
แผ่นไม้อัด, แผ่นเหล็ก, แผ่นเหล็กเจาะรู, ตะแกรง ฯลฯ
-
เก็บของ/ลังแบบไหน เลือกพื้นให้รองรับดี ไม่แอ่น/ยุบ
-
ถ้าขนของหนักจริง อย่าเดาจากสายตา ต้องขอ “สเปกน้ำหนัก + แบบคำนวณ/แคตตาล็อก” จากผู้ขายให้ชัด
4. ดูคุณภาพโครงสร้าง–เหล็ก–งานประกอบ
สิ่งที่ควรเช็กแบบง่าย ๆ
-
ความหนาเหล็กและรูปทรงเสา
-
เสาต้องไม่บางจนบิดงอได้ง่าย
-
-
รอยเชื่อมและการพ่นสี
-
รอยเชื่อมเต็ม ไม่พรุน ไม่รูโหว่
-
ผิวสีเรียบ ไม่มีสนิมขึ้นตั้งแต่ยังไม่ติดตั้ง
-
-
ระบบล็อกคาน (Beam Lock / Safety Pin)
-
ต้องมีตัวล็อกกันคานเด้งหลุด ไม่ใช่แค่ “วางเฉย ๆ”
-
ถ้าโกดังใหญ่หรือเสี่ยงสูง ควรขอให้ผู้ผลิตมี วิศวกรหรือเอกสารรับรองการคำนวณโครงสร้าง ประกอบด้วย
5. ความปลอดภัยหน้างานที่ต้องคิดตั้งแต่ตอนเลือก
5.1 การยึดชั้นกับพื้น / ผนัง
-
เสาทุกต้นควรมี Anchor Bolt ยึดกับพื้น
-
แถวปลายทางเดินควรมี กันชนเสา (Upright Protector / End Guard)
5.2 อุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัย
-
ตาข่าย/กันตกด้านหลัง (Back Mesh / Pallet Stop)
-
ป้องกันพาเลท/ของร่วงไปอีกฝั่ง
-
-
ป้ายบอกน้ำหนักรับได้สูงสุด
-
ติดที่ปลายชั้นให้ชัดเจน
-
5.3 ทางเดิน & ทางหนีไฟ
-
เว้นทางเดินหลักให้โฟล์กลิฟต์หรือรถเข็นใช้สะดวก
-
ไม่ควรวางชั้นวางบังทางหนีไฟ/ประตูฉุกเฉิน
-
ความสูงชั้นต้องไม่ไปชน/ใกล้โครงสร้าง/สปริงเกลอร์มากเกินไป
6. วางแผนเผื่ออนาคต – ให้คุ้มในระยะยาว
ถ้าอยาก “คุ้มค่า” ไม่ใช่เฉพาะตอนซื้อ แต่ต้องคุ้มในอนาคตด้วย
-
เลือกระบบชั้นวางที่ ปรับความสูงได้
-
เลือกซีรีส์ที่ มีอะไหล่/คาน/เสา เพิ่มได้ในอนาคต
-
อาจเริ่มจากบางโซน แล้วค่อยขยายเพิ่มในอนาคต โดยใช้แบบโครงสร้างเดิม
ถามผู้ขายไว้เลยว่า
“อีก 1–2 ปี ถ้าอยากต่อเติมเพิ่มอีก 2 แถว หรือเพิ่มชั้น จะใช้โครงเดิมต่อได้ไหม?”
7. บริการหลังการขายก็สำคัญ
เลือกแค่ราคาถูกสุดอย่างเดียว บางทีเหนื่อยทีหลัง
-
มีทีมสำรวจหน้างานและช่วยออกแบบผังให้หรือไม่
-
มีบริการติดตั้งโดยทีมที่มีประสบการณ์หรือเปล่า
-
มีบริการตรวจสภาพชั้นวางประจำปี / ซ่อมแซม / เปลี่ยนอะไหล่ไหม
-
มีคู่มือการใช้งานและเทรนนิ่งให้ทีมคุณหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ช่วยลดอุบัติเหตุ และทำให้ชั้นวางอยู่กับโกดังคุณได้ยาว ๆ
สรุป: ดู 4 เรื่องหลักก่อนตัดสินใจซื้อ
-
ประเภทชั้นวาง – รองรับรูปแบบการเก็บของของคุณจริงไหม
-
น้ำหนักบรรทุก – มีสเปกชัดเจน ไม่เดาเอาเอง
-
ความปลอดภัยโครงสร้าง & การติดตั้ง – มีระบบล็อก, ยึดพื้น, กันชน, ป้ายกำกับ
-
การขยายในอนาคต & บริการหลังการขาย – เติม เพิ่ม ปรับได้ ไม่ต้องรื้อทั้งหมด
ถ้าเช็กครบ 4 ข้อนี้ได้ คุณจะได้ชั้นวางที่ทั้ง ปลอดภัย ใช้งานได้จริง และคุ้มค่าในระยะยาว
คำทิ้งท้าย + ลิงก์ไปยังหน้าสินค้า
ถ้าคุณกำลังมองหาชั้นวางเหล็กสำหรับโกดังที่ทั้งแข็งแรง ปลอดภัย และวางแผนขยายต่อได้ในอนาคต ลองดูตัวเลือกชั้นวางที่ออกแบบตามลักษณะสินค้าของคุณโดยเฉพาะ
👉 สนใจดูรุ่นชั้นวางเหล็กสำหรับโกดังของคุณ คลิกที่นี่: ดูชั้นวางเหล็กสำหรับโกดัง
