ชั้นวางสินค้า

ทำความเข้าใจภาพรวมของชั้นวางสินค้าในโรงงานและคลังสินค้า

เวลาเริ่มวางระบบจัดเก็บ สองคำที่มักถูกพูดถึงคู่กันคือ “ชั้นวางสินค้าโรงงาน” และ “ชั้นวางในคลังสินค้า” หลายคนเลยสงสัยว่า ชั้นวางสินค้าโรงงาน / ชั้นวางสินค้าคลังสินค้า ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนให้เหมาะกับงาน กันแน่

จริง ๆ แล้ว “ชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรม” ทั้งสองแบบมีเป้าหมายเหมือนกัน คือช่วยใช้พื้นที่ให้คุ้มที่สุด จัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ และทำให้หยิบ–เก็บสินค้าได้รวดเร็วปลอดภัย แต่รูปแบบการใช้งาน หน้าที่ และเงื่อนไขในโรงงานกับคลังสินค้านั้นไม่เหมือนกันเลย จึงต้องออกแบบเลือกใช้ Rack คนละแนวคิด

ความสำคัญของชั้นวางต่อประสิทธิภาพการผลิตและโลจิสติกส์

  • ช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บในแนวสูง โดยไม่ต้องขยายอาคาร

  • ทำให้การค้นหา–หยิบสินค้าเป็นระบบ ลดการเดินหาของ

  • ควบคุมสต๊อกได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อตำแหน่งจัดเก็บชัดเจน

  • ลดการเสียหายของสินค้า เพราะไม่วางกองกับพื้นแบบสุ่ม

  • ช่วยให้การทำงานร่วมกับ WMS หรือระบบคลังอัตโนมัติราบรื่น

จะเห็นว่าชั้นวางไม่ใช่แค่ “เฟอร์นิเจอร์” ในโรงงานหรือโกดัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเลยก็ว่าได้

โครงสร้างพื้นฐานของชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรม

โดยทั่วไป ชั้นวางอุตสาหกรรมจะประกอบด้วย

  • เสา (Upright)

  • คานรับน้ำหนัก (Beam)

  • แผ่นชั้นหรือแผงรับพาเลท

  • อุปกรณ์เสริม เช่น กันชน เสริมค้ำยัน รั้วกั้น ฯลฯ

วัสดุหลักคือเหล็กโครงสร้างคุณภาพสูง ออกแบบให้รับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน มีการคำนวณด้านวิศวกรรมเพื่อความแข็งแรงและความปลอดภัย ไม่ใช่ชั้นวางเหล็กทั่วไปตามโฮมเซ็นเตอร์


นิยาม: ชั้นวางสินค้าโรงงาน คืออะไร ใช้กับงานแบบไหน

ลักษณะพื้นที่และรูปแบบการใช้งานในโรงงาน

โรงงานมักมีพื้นที่ใช้งานแบบ “ผสม” กัน ทั้งส่วนผลิต ส่วนเก็บวัตถุดิบ ส่วนเก็บอะไหล่ และส่วนสต็อกสินค้าสำเร็จรูป ปริมาณสินค้ามักไม่มากเท่าคลังหลัก แต่ต้องหยิบใช้บ่อยและใกล้ไลน์ผลิต

ชั้นวางในโรงงานจึงมักมีลักษณะเด่นคือ

  • เน้นความคล่องตัว หยิบของด้วยมือได้สะดวก

  • รองรับน้ำหนักระดับเล็ก–กลาง หรือน้ำหนักมากเป็นบางจุด

  • มักอยู่ใกล้พื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงาน

  • ปรับระดับชั้นได้ง่าย เผื่อเปลี่ยนประเภทสินค้าในอนาคต

ประเภทชั้นวางที่เจอในโรงงานบ่อย ๆ

ตัวอย่างชั้นวางยอดนิยมสำหรับโรงงาน เช่น

  • Micro Rack – เหมาะกับสินค้า/อะไหล่ขนาดเล็ก–กลาง รับน้ำหนักประมาณ 150–250 กก./ชั้น เหมาะกับโรงงาน SME และคลังชิ้นส่วน

  • Medium Shelving – รับน้ำหนักได้มากขึ้น (ประมาณ 200–300 กก./ชั้น) ใช้เก็บกล่อง ลัง หรือชิ้นงานใหญ่ขึ้น

  • Multi-tier Shelving – ระบบชั้นหลายชั้น (เหมือนทำชั้นลอย) เหมาะกับพื้นที่สูง ต้องการเดินขึ้นไปหยิบของ

ในโรงงานบางแห่งที่มีสต็อกพาเลทสินค้าเยอะ ก็อาจใช้ Selective Rack แบบเดียวกับคลังสินค้าในส่วน Finished Goods ได้เช่นกัน


นิยาม: ชั้นวางสินค้าคลังสินค้า คืออะไร แตกต่างจากโรงงานอย่างไร

ลักษณะงานจัดเก็บในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า

คลังสินค้าและศูนย์กระจาย (DC) จะเน้น “การจัดเก็บปริมาณมาก” และ “การเคลื่อนย้ายพาเลท” เป็นหลัก งานส่วนใหญ่ทำด้วยรถโฟล์คลิฟท์ ไม่ได้เดินหยิบของทีละชิ้นเหมือนในไลน์ผลิต

จุดเด่นของคลังคือ

  • ปริมาณพาเลทมาก ใช้พื้นที่แนวสูงเต็มที่

  • มีทั้งคลังที่มี SKU หลากหลาย และคลังที่มี SKUs น้อยแต่เก็บลึก

  • ต้องจัด Layout ให้รองรับเส้นทางวิ่งของรถโฟล์คลิฟท์

  • มักมีการใช้ระบบ WMS ช่วยจัดการตำแหน่งจัดเก็บ

ประเภทชั้นวางยอดนิยมในคลังสินค้า

ตัวอย่างประเภท Rack ที่พบได้บ่อยในคลัง ได้แก่

  • Selective Rack – ชั้นวางพาเลทที่ “หยิบพาเลทไหนก็ได้” เป็นระบบพื้นฐานที่สุด ยืดหยุ่นสูง

  • Drive-In / Drive-Through Rack – วางพาเลทซ้อนลึก เหมาะกับสินค้าประเภทเดียวกันจำนวนมาก

  • FIFO Rack / Pallet Flow Rack – มีลูกกลิ้งให้พาเลทไหลตามแนวลึก เหมาะกับสินค้าที่ต้องหมุนเวียนแบบ FIFO เช่น สินค้าอาหาร/เครื่องดื่ม

  • Push Back Rack – รวมข้อดีของ Drive-In กับ FIFO เก็บได้ลึก หยิบ–เก็บจากด้านเดียว

  • Mobile Rack – ชั้นวางที่เลื่อนได้บนราง ช่วยใช้พื้นที่ให้หนาแน่นขึ้นมาก

จะเห็นว่าคลังสินค้ามักใช้ชั้นวางที่เน้น “ระบบพาเลท” และออกแบบให้เข้ากับการทำงานของรถยกมากกว่าแรงงานคน


เปรียบเทียบชั้นวางสินค้าโรงงาน vs ชั้นวางสินค้าคลังสินค้า

โครงสร้างและการรับน้ำหนัก

  • โรงงาน: มักใช้ชั้นวางที่รับน้ำหนักระดับเบา–กลาง เน้นหยิบด้วยมือ ผสมกับพาเลทบางส่วน

  • คลังสินค้า: โครงสร้างใหญ่ แข็งแรง รับน้ำหนักต่อพาเลทสูง ใช้เสาสูงหลายเมตรและคานขนาดใหญ่

ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน

  • โรงงาน: ต้องยืดหยุ่นสูง เพราะประเภทสินค้าและไลน์ผลิตเปลี่ยนบ่อย ต้องปรับระดับชั้นได้ง่าย ย้ายตำแหน่งได้ไม่ยาก

  • คลังสินค้า: ปรับได้ แต่ Layout มักถูกออกแบบระยะยาว หากเปลี่ยนทีหนึ่งมีผลกับเส้นทางรถยกและระบบ WMS

รูปแบบการหมุนเวียนสินค้า (FIFO / LIFO)

  • โรงงาน: เน้นสะดวกต่อไลน์ผลิตและการเติมวัตถุดิบเป็นหลัก ไม่ได้ใช้ระบบ FIFO เชิงลึกมาก (ยกเว้นวัตถุดิบที่มีวันหมดอายุ)

  • คลังสินค้า: ต้องออกแบบให้รองรับทั้ง FIFO, LIFO หรือหมุนล็อตตามความต้องการ ซึ่งจะกำหนดเลยว่าจะใช้ Selective, Drive-In, FIFO Rack หรือ Push Back แบบใด

การใช้งานร่วมกับรถโฟล์คลิฟท์และอุปกรณ์เคลื่อนย้าย

  • โรงงาน: ใช้ทั้งแฮนด์ลิฟท์ รถโฟล์คลิฟท์ รถลาก หรือหยิบด้วยมือในชั้นวางแบบ Micro/Medium Shelving

  • คลังสินค้า: รถโฟล์คลิฟท์เป็นพระเอก ต้องเผื่อความกว้างทางเดิน ความสูงยก และจุดกลับตัวให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนออกแบบชั้นวาง


เกณฑ์สำคัญในการเลือกชั้นวางให้เหมาะกับงานจริง

1. ประเภทสินค้า ขนาด น้ำหนัก และบรรจุภัณฑ์

  • สินค้าตัวเล็ก น้ำหนักเบา → Micro Rack / Medium Shelving

  • สินค้าอยู่ในกล่อง/ลัง → ชั้นวางชั้นกลางหรือแบบ Mezzanine

  • สินค้าวางบนพาเลท → ระบบ Selective / Drive-In / Push Back / FIFO Rack

ควรดูทั้ง “น้ำหนักต่อชิ้น” และ “น้ำหนักรวมต่อชั้น” เพื่อไม่ให้เกินค่าที่ผู้ผลิตกำหนด

2. พื้นที่จริงและ Layout ภายในอาคาร

  • ความสูงเพดาน

  • ระยะเสาอาคาร

  • ตำแหน่งประตูเข้า–ออกและจุดโหลดสินค้า

  • ทางเดินคนและรถโฟล์คลิฟท์

ถ้าพื้นที่ไม่สูง แต่ยาวมาก อาจเหมาะกับ Selective Rack เรียงยาวหลายแถว แต่หากเพดานสูงมาก แต่อยากใช้พื้นที่แนวสูงให้คุ้ม อาจพิจารณา Multi-tier หรือ Mezzanine Rack รวมด้วย

3. ปริมาณ SKU และความถี่การหมุนเวียน

  • หลาย SKU หยิบบ่อย → Selective Rack / ชั้นวางทั่วไปที่เข้าถึงสินค้าได้ง่าย

  • SKU น้อย แต่จำนวนต่อ SKU เยอะ → Drive-In, Push Back

  • สินค้ามีวันหมดอายุ ต้อง FIFO → FIFO Rack หรือ Pallet Flow Rack

4. งบประมาณ อายุการใช้งาน และค่าบำรุงรักษา

ระบบชั้นวางบางแบบราคาต่อพาเลทถูก แต่กินพื้นที่เยอะ บางแบบราคาเริ่มต้นสูง แต่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อพาเลทจริงถูกลง ถ้ามองระยะยาวควรคิดค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานไม่ใช่แค่ราคาแรกเริ่ม


แนะนำประเภทชั้นวางสำหรับ “โรงงาน”

โรงงานที่เก็บอะไหล่และชิ้นส่วนขนาดเล็ก–กลาง

  • Micro Rack

  • Medium Shelving

  • Multi-tier Shelving (ถ้าพื้นที่สูง)

เน้นให้พนักงานหยิบได้ง่าย จัดหมวดหมู่ชัดเจน ติดป้าย Label ชื่ออะไหล่ และเชื่อมกับระบบ WMS หรือ ERP

โรงงานที่เก็บวัตถุดิบหรือสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก

  • Selective Rack สำหรับพาเลท

  • ชั้นวางเหล็ก Heavy Duty

มักตั้งอยู่ในส่วน Raw Material หรือ Finished Goods ใกล้จุดโหลดสินค้า มีทางวิ่งรถโฟล์คลิฟท์ชัดเจน

โรงงานที่เตรียมตัวเข้าสู่ระบบ Automation

โรงงานที่คิดจะใช้ คลังสินค้าอัตโนมัติ หรือ AS/RS ในอนาคต ควรออกแบบชั้นวางให้รองรับการติดตั้งระบบลำเลียง ระบบชั้นวางสูงพิเศษ และจัดโซนสำหรับ Pallet In/Out ไว้ตั้งแต่แรก จะช่วยประหยัดค่าปรับปรุงทีหลังได้มาก


แนะนำประเภทชั้นวางสำหรับ “คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า”

คลังสินค้าทั่วไปที่มีหลาย SKU

  • เหมาะกับ Selective Rack เป็นหลัก

  • แบ่งโซนตามหมวดสินค้า และแบ่งชั้นตามรหัสสินค้า

  • เชื่อมกับ WMS เพื่อระบุ Location เช่น A-01-02-03 ฯลฯ

คลังที่ต้องหมุนเวียนสินค้าตามวันหมดอายุ (FIFO)

  • ใช้ FIFO Rack / Pallet Flow Rack เพื่อให้พาเลทเข้า–ออกตามลำดับ

  • ลดความเสี่ยงสินค้าค้างสต๊อก หมดอายุโดยไม่ได้ขาย

  • เหมาะกับอาหาร เครื่องดื่ม ยา และสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท

คลังที่เก็บสินค้าเป็นล็อตใหญ่ มี SKU ไม่มาก

  • ใช้ Drive-In / Drive-Through Rack หรือ Push Back Rack

  • เน้นเก็บลึก เพิ่มความหนาแน่นของพื้นที่จัดเก็บ

  • เหมาะกับสินค้าที่เป็นล็อต เช่น สินค้าเกษตร วัตถุดิบจำนวนมาก


ผสานการทำงานร่วมกับระบบ WMS และคลังสินค้าอัตโนมัติ

การกำหนดโซนจัดเก็บและรหัสตำแหน่งชั้นวาง

ต่อให้เลือกชั้นวางดีแค่ไหน ถ้าไม่มีระบบการจัดโซนและรหัส Location ที่ชัดเจน ก็จะยังค้นของยากอยู่ดี ระบบ WMS จะช่วยกำหนดได้ว่า

  • สินค้าตัวไหนควรอยู่โซนไหน

  • ชื่อแถวชั้นวางคืออะไร

  • ช่องไหน ชั้นที่เท่าไหร่

และยังสามารถเชื่อมกับบาร์โค้ดหรือ RFID เพื่อให้พนักงานสแกนแล้วเห็นตำแหน่งได้ทันทีPackhai

ลดความผิดพลาดและเพิ่มความเร็วการหยิบสินค้า

เมื่อชั้นวางถูกออกแบบให้เข้ากับ Flow งานของ WMS เช่น โซนรับเข้า–โซนจัดเก็บ–โซนหยิบ–โซนแพ็ค ระบบจะช่วยแนะนำเส้นทางและตำแหน่งการหยิบที่เหมาะสม ลดการเดินวน และลดโอกาสหยิบผิดสินค้า


การดูแลรักษาและความปลอดภัยของชั้นวางสินค้า

การตรวจสอบสภาพชั้นวางและการรับน้ำหนัก

  • ตรวจสอบสภาพเสา คาน และแผ่นชั้นอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจดูรอยชนจากรถโฟล์คลิฟท์

  • ห้ามวางสินค้ามากเกินกว่าค่าที่ระบุบนป้ายกำกับ

  • หากมีความเสียหาย ควรหยุดใช้และให้วิศวกรช่วยประเมินทันที

การฝึกอบรมพนักงานและมาตรการด้านความปลอดภัย

  • สอนการขับรถโฟล์คลิฟท์ให้ถูกวิธีในทางเดินแคบ

  • ห้ามปีนชั้นวางโดยเด็ดขาด

  • ติดป้ายแจ้งน้ำหนักรับสูงสุดในแต่ละชั้น

  • มีทางหนีไฟและช่องทางฉุกเฉินที่ไม่ถูกบังด้วยชั้นวาง


ตัวอย่าง Check-list ถามตัวเองก่อนเลือกชั้นวาง

คำถามด้านเทคนิค

  • สินค้าของคุณใช้พาเลทหรือไม่? ขนาดเท่าไหร่?

  • น้ำหนักต่อพาเลท/ต่อชั้นประมาณเท่าไหร่?

  • เพดานสูงเท่าไหร่? สามารถตั้งชั้นสูงกี่เมตร?

  • มีรถโฟล์คลิฟท์แบบไหน ความสูงยกสูงสุดเท่าไหร่?

คำถามด้านการใช้งานระยะยาว

  • ปริมาณสินค้าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ใน 3–5 ปีข้างหน้า?

  • มีแผนจะใช้ระบบ WMS หรือคลังอัตโนมัติไหม?

  • จะมีการเปลี่ยนประเภทสินค้าบ่อยแค่ไหน?

  • พร้อมลงทุนกับชั้นวางแบบใด: เริ่มต้นถูก หรือแพงกว่าแต่คุ้มระยะยาว?

สนใจติดตั้งชั้นวางสินค้า ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่